วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สรุปบทที่ 1 Introduction to E-Business and E-Commerce

สรุปบทที่ 1 Introduction to E-Business and E-Commerce



โลกเสมือน(Virtual Worlds)


Location Based Service(LBS)


   เป็นบริการอย่างหนึ่งที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีไร้สาย ที่ทำให้บุคคลหรือองค์กรอื่นๆ ระบุตำแหน่งที่อยู่ของผู้ใช้อุปกรณ์ไร้สายได้อย่างแม่นยำ เช่น เราสามรถรู้ข้อมูล ว่าเพื่อนเราทำอะไร,ร้านอาหารนีน้มีเมนูเด็ดอะไรบ้าง,สถานที่นี้กำลังทำอะไรอยู่ รอบๆตัวเรา รวมไปถึงรอบโลก ด้วยเทคโนโลยี LSB


บริการเครือข่ายสังคม (Social Network Service)

 เป็นรูปแบบของการสร้างสังคมบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยเป็นที่รวบรวมของกลุ่มคนที่เชื่อมโยงกัน โดยที่นิยมเช่น line wechat twitter Facebook เป็นต้น โดยในยุคปัจจุบัน มีการหาผลประโยชน์ คือ การหาเงินจากการโฆษณา และการเล่นเกมส์

 

ความแตกต่างระหว่าง E-Commerce กับ E-Business

 พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce) 

  พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การทำธุรกรรมผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับองค์กร ลดค่าใช้จ่ายในการเก็บคลังสินค้า

  E-Commerce แบ่งเป็น 9 ประเภท

1.Consumer to Consumer - C2C คือการติดต่อระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคโดยตรง เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารในกลุ่มของคนที่มีการบริโภคเหมือนกันหรือการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเอง
2.Consumer to Business - C2B คือการให้ผู้บริโภคได้บอกถึงผลตอบรับจากการใช้บริการขององค์กรผู้ทำการค้านั้นๆ ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร ควรปรับปรุงอะไร ซึ่งสามารถทำได้ผ่านเว็บไซต์หรือช่องทางการติดต่อสื่อสารต่างๆ  

3.Consumer to Government - C2G คือการให้ผู้บริโภคได้บอกถึงผลตอบรับจากการใช้บริการของหน่วยงานภาครัฐนั้นๆ ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร ควรปรับปรุงอะไร ซึ่งสามารถทำได้ผ่านเว็บไซต์หรือช่องทางการติดต่อสื่อสารต่างๆ
4.Business to Consumer - B2C คือการค้าระหว่างองค์กรผู้ทำการค้ากับผู้บริโภค เช่น e-book
5.Business to Business - B2B คือการติดต่อการค้าระหว่างองค์กรผู้ทำการค้ากับองค์กรผู้ทำการค้าโดยตรง หรือเรียกว่าการติดต่อแบบธุรกิจกับธุรกิจ
6.Business to Government - B2G คือการประกอบธุรกิจระหว่างภาคเอกชนหรือองค์กรผู้ทำการค้ากับหน่วยงานภาครัฐ เช่นการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐหรือเรียกว่า e-government
7.Government to Consumer - G2C คือการบริการของภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอกนิกส์ต่างๆ ไปยังประชาชน เช่นการคำนวณและการเสียภาษีผ่านระบบอินเตอร์เน็ต การให้บริการข้อมูลประชาชนผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
8.Government to Business - G2B คือการบริการของภาครัฐไปยังองค์กรผู้ทำการค้าห้างร้านต่างๆ
9.Government to Government - G2G คือการบริการของภาครัฐกับภาครัฐด้วยกันเอง ที่มีการแลกเปลี่ยนโอนถ่ายข้อมูลระหว่างประเทศ เช่นข้อมูลอาชญากรข้ามชาติ นักค้ายาเสพติด เป็นต้น

ธุุรกิจรอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic-Business) 

 คือ การดำเนินกิจกรรมทาง "ธุรกิจ" ต่าง ๆ โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อทำให้กระบวนการทางธุรกิจ มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของคู่ค้า และลูกค้าในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลจะ มีคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ E-Business

 

BI = Bussiness Intelligence: 

     การรวบรวมข้อมูลข่าวสารด้านตลาด ข้อมูลลูกค้า และ คู่แข่งขันนำไปวิเคราะข้อมูลทาธุรกิจเพื่อนำไปใช้ ในการ ตัดสินใจ ดีกว่า เร็ว กว่า โดยอาศัยเทคโนโลยีทางด้าน Data Warehouse

   

EC = E-Commerce:

 เทคโนโลยีที่ช่วยทำให้เกิดการสั่งซื้อ การขาย การโอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ต 

   

CRM = Cuttomer RelationShip Management: 

  การบริหารจัดการ การบริการ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจกับทั้งสินค้า บริการ และ บริษัท – ระบบ CRM จะใช้ไอทีช่วยดำเนินงาน และ จัดเตรียมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการบริการลูกค้า

 

  SCM = Supply Chain Management:


    การประสาน ห่วงโซ่ทางธุรกิจ ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ ผู้ผลิต ผู้จัดส่ง ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก จนถึงมือผู้บริโภค 

 

        ERP = Enterprise Resource planing:                

     กระบวนการของสำนักงานส่วนหลังและ การผลิต เช่น การรับใบสั่งซื้อการจัดซื้อ การจัดใบส่งของ การจัดสินค้าคงคลัง แผนและการจัดการจัดการผลิต-ระบบ ERP จะช่วยให้กระบวนการดังกล่าวมีประสิทธิภาพและลดต้นทุน

  Intranet

    ระบบเครือข่ายภายในองค์กร เป็นบริการ และการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหมือนกับ Internet แต่จะเปิดให้ใช้เฉพาะสมาชิกในองค์กรเท่านั้น เป็นการจำกัดขอบเขตการใช้งาน

 

  Extrenet

    เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ช่วยในการเข้าถึงข้อมูลโดยควบคุมจากภายนอกอค์กร ระบบเครือข่ายแบบเอ็กซ์ทราเน็ตโปรแกรมนั้น ข้อมูลซอฟแวร์จะจำกัดการเข้าถึงบริษัท โดยแสดงข้อมูลภายในให้ผู้ใช้ภายนอก เช่น ลูกค้าและซัพพลายเออ สามารถจำกัดการเข้าถึงข้อมูลและมีความสามารถในการสั่งซื้อสอนค้าและบริการตรวจสอบสถานะการสั่งซื้อ

แบบฝึกหัดบทที่ 2 E-business infrastructure


แบบฝึกหัดบทที่ 2


1.  E-COMMERCE กับ E-BUSINESS เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
                e-business มีขอบเขตที่กว้างกว่า โดยหมายถึง การทำกิจกรรมในทุก ๆ ขั้นตอนของกระบวนการธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการซื้อขาย การติดต่อประสานงาน รวมถึงงานธุรการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในสำนักงานด้วย ในขณะที่ e-commerce หรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จะเน้นเฉพาะการซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเท่านั้น จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่า e-commerce เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ e-business เท่านั้น


2. จงหาความหมายของคำต่อไปนี้
                B2B ย่อมาจาก Business-to-Business หมายถึง การทำการค้าระหว่างองค์กรธุรกิจกับองค์กรธุรกิจ เช่น การซื้อวัตถุดิบมาผลิตเป็นสินค้าการซื้อสินค้าจากผู้ผลิตเพื่อขายต่อให้กับผู้บริโภคอีกทอดหนึ่ง เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการสั่งซื้อจำนวนมากๆ และสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง


                B2C : Business to Consumer การค้ารูปแบบ ธุรกิจ กับ บุคคลเป็นการค้าและทำธุรกรรมระหว่าง ธุรกิจที่เป็นรูปแบบบริษัทฯ หรือร้านค้ากับผู้บริโภคที่เป็นบุคคลทั่วไป ซึ่งเป็นการค้าแบบขายปลีก ที่มีการสั่งซื้อสินค้า จำนวนไม่มากและมูลค่าการซื้อ-ขายแต่ละครั้งจำนวนไม่สูงมากนัก โดยการค้าแบบนี้มักชำระเงินด้วยบัตรเครดิต เว็บไซต์ที่มีรูปแบบลักษณะนี้เช่น www.ToHome.com, www.MissLily.com


                Business-to-business-to-consumer-B2B2C เป็นการเชื่อมต่อ B2B และ B2C เข้าด้วยกัน นั่นคือ องค์กรธุรกิจขายให้องค์กรด้วยกัน แต่องค์กรจะจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าอีกทีหนึ่ง


            C2C  Consumer to Consumer   การทำธุรกิจที่เน้น ให้ ลูกค้าสร้างกลุ่มกันเองขึ้นมา เป็นชุมชน เข้า Chat หรือ พูดคุยให้ความเห็นกัน เช่น pantip.com ,ebay เวปสำหรับเสนอการประมูลขายของ,ICQ,Hotmail


                C2B  Consumer to Business   การติตต่อจากลูกค้าเข้ามาหาธุรกิจ เช่นการขอบริการ การหาข้อมูล พวก search engine ทั้งหลาย ISP, ASP ที่ลูกค้ามักมีความต้องการติดต่อเข้ามาหาธุรกิจ Yahoo.com , Microsoft.com มา download Software , Egoverment มาขอข้อมูลรัฐและ การร้องขอบริการจากภาครัฐ,Bankasia4u.com ธนาคาร ออน์ไลน์ ที่ลูกค้าเข้ามาร้องขอทำธุรกรรมการเงิน


            Mobile Commerce (M - Commerce) M-Commerce คือ การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม หรือการเงิน โดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือการค้าขายตามระบบแนวความคิดของระบบการค้าอิเล็กทรอนิกส์ E-Commerce ที่ใช้อุปกรณ์พกพาไร้สายเป็นเครื่องมือในการสั่งซื้อ และขายสินค้า ต่างๆ ทั้งการสั่งซื้อสินค้าที่เป็นรูปธรรม หรือนามธรรม รวมทั้งการรับ-ส่งอีเมล์ สิ่งที่น่าสนใจ และเป็นจุดที่น่าศึกษา คือ โทรศัพท์เคลื่อนสามารถพกพาไปได้ทุกที่ไม่จำกัด ทำให้ตลาดการค้าออนไลน์ หรือการทำธุรกรรมเชิงพาณิชย์ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นตลาดที่น่ากลัวที่สุด เพราะสะดวกสบาย ไม่มีข้อจำกัดในการจับจ่าย และคนในสังคมไทยมีความคุ้นเคยกับการ ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่แล้ว โดย M-Commerce เป็นการแตกแขนงของเทคโนโลยีที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการขยายตัวของธุรกิจพาณิชย์อิเล็คทรอนิคส์ โดย M-Commerce จะช่วยเร่งอัตราการเติบโตให้กับการดำเนินธุรกรรมผ่านเครือข่ายอิเล็คทรอนิคส์ได้เร็วกว่าการใช้เทคโนโลยี E-Commerce ขอบเขตของ M-Commerce ครอบคลุมทั้งการดำเนินธุรกรรมระหว่างผู้ดำเนินธุรกิจ กับผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Business to Customer หรือ B2C) และระหว่างผู้ดำเนินธุรกิจด้วยกันเอง (Business to Business หรือ B2B)

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สรุป บทที่ 2 E-business infrastructure

สรุป บทที่ 2 E-business infrastructure


คือ โครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีที่มีผลต่อคุณภาพการบริการแก่ผู้ใช้งานของระบบทั้งในแง่ของความเร็ว(Speed)และ การตอบสนองต่อการร้องขอระบบ (responsiveness)  

      โครงสร้างสนันสนุน E-business
1. Deploy - การแปรรูป
2. innovate - การเปลียนแปลง
3. propagate - การเผยแพร่ออกสู่ภายนอก

     โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นหัวใจหลักของ infrastructure  
1. Hardware
2. Software
3. Network
4. Input

      การให้บริการ E-business ให้ผ่านมาตรฐานของโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี  ต้องกำหนดความสามารถขององค์กรในการแข่งขันทางธุรกิจผ่านการความแตกต่างให้กับตัวเองในตลาด

       E-business infrastructure หมายถึง
การรวมกันของฮาร์ดแวร์เช่น Server, Client PC ในองค์กรรวมถึงการใช้เครือข่ายในการเชื่อมโยงฮาร์ดแวร์เหล่านี้และการใช้งานซอฟต์แวร์


          ส่วนประกอบของโครงสร้างพื้นฐาน E-business infrastructure components

1. Application          - ไม่สนใจว่าจะใช้อะไร,เป็นการจัดการให้ประสบความสำเร็จ
2. Software             - Web,linux,database / ใช้ Software อะไรในการจัดการบริหาร
3. Transport            - ติดต่อสื่อสาร,Protocal,TCP/IP
4. Storage               - ใช้เก็บข้อมูลต่างๆ ,ฮาร์ดดิส,แรม เก็บไว้ที่ไหนอย่างไร
5. Content and Data - การจัดการบริหาร,Intranet,Extranet

ตัวอย่าง Hosting ใน ไทย




                                                   http://www.hostneverdie.com/


ข้อได้เปรียบเครือข่ายอินทราเน็ต
1. วงจรการผลิตลดลง
2. ลดค่าใช้จ่าย
3. ได้ผลผลิตเร็ว มีประสิทธิภาพ การบริการลูกค้าเร็ว
4. การกระจายข่าวสารง่ายและรวดเร็ว

Firewalls
                ใช้ป้องกันการโจมตี การบุกรุก จากผู้ไม่ประสงค์ดี เป็นสิ่งที่จำเป็นเมื่อมีการสร้างอินทราเน็ตหรือเอ็กซ์ทราเน็ต เป็นซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งบนเซิร์ฟเวอร์

Internet
                หมายถึง ลักษณะของการเชื่อมต่อของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งเล็กและใหญ่จำนวนมากเข้าด้วยกัน โดยมีข้อกำหนดว่าทุกเครือข่ายที่เชื่อมต่อถึงกัน จะต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานของการเชื่อมต่อ(โปรโตคอล) ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานบนเครือข่ายแบบนี้โดยเฉพาะ ซึ่งเรียกว่า TCP/IP

เว็บเบราว์เซอร์ (web browser)
                คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล (html) ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์ หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ

เว็บเบราว์เซอร์ (web browser) ที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
 - Internet Explorer
 - Mozilla Firefox
 - Google Chrome
 - Safari

เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) คือ 
เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งให้บริการที่เก็บเว็บไซต์ (Server) แล้วให้ผู้ใช้ (Client) เรียกชมหน้าเว็บไซต์ได้โดยใช้โพรโทคอล HTTP ผ่านทางเว็บเบราว์เซอร์

browser compatibility คือ การทดสอบ Web site







http://viewlike.us ความสามารถคือ ใช้ในการแสดงขนาด Resolution ของหน้าจอในขนาดต่างๆ



http://browsershots.org เว็บนี้เอาไว้ตรวจสอบการแสดงผลของเว็บใน Browser ต่างๆ



                                         วิวัฒนาการของเว็บ 1.0, Web 2.0 Web 3.0

Web 1.0 
1.ผู้เข้าชมสามารถอ่านได้อย่างเดียว ( Read-only ) 
2.สามารถแก้ไขข้อมูล หน้าตาของเว็บไซต์ได้เฉพาะผู้ดูแลเว็บไซต์ ( Web master )
3.ใช้ภาษา html (Hyper Text Markup Language)

Web 2.0 
1ผู้เข้าชมสามารถอ่านและเขียนได้ ( Read-Write ) 
2.พัฒนาต่อจาก web 1.0 เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้

web 3.0
1.ผู้บริโภคสามารถเข้าถึง (view ,create ,copy ,share etc.) ได้ทุกที่ ทุกเวลา ด้วย อุปกรณ์ใดๆที่ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้
2.การพัฒนาให้มี ความฉลาดรู้ หรือ มี AI (Artificial Intelligence)
3.สามารถค้นหา และคาดเดาความต้องการของผู้บริโภค แต่ละคนได้  อุปกรณ์ไอที Gadget ต่างๆ
  
เว็บ 3.0 ที่ได้รับการพัฒนา จะประกอบด้วย
1. AI (Artificial Intelligence)
2. semantic web
3. Automated reasoning
4. semantic wiki
5. ontology language หรือ OWL

Blog  คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์  โดยเนื้อหาเป็นเรื่องใดก็ได้ ซึ่งข้อมูลประกอบด้วยข้อความรูป และลิงค์

จุดเด่นของ Blog
      - เป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านที่      เป็นกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน
      - มีความสะดวกและง่ายในการเขียน Blog ทำให้สามารถเผยแพร่ความคิดเห็นของผู้เขียน blog ได้ง่ายขึ้น
      - Comment จากผู้ที่สนใจเรื่องเดียวกันบางครั้งทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ

ข้อแตกต่างของ Blog กับเว็บประเภทอื่น

- การใส่ข้อมูลใหม่ทำได้ง่าย
- มี template อัตโนมัติช่วยจัดการ
- มีการกรองเนื้อหาแยกตามวัน ประเภทผู้แต่งหรืออื่นๆ
- ผู้ดูแลจัดการ blog สามารถเชิญ หรือ  เพิ่มผู้แต่งคนอื่น โดยจัดการเรื่องการอนุญาตและการเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย
- เจ้าของ blog จะเป็นผู้สร้างหัวข้อสนทนาเท่านั้น

Internet Forum
- ทำหน้าที่คล้าย bulletin board และ newsgroup
- มีการรวบรวมข้อมูลทั่วๆไป เช่น เทคโนโลยีเกม,คอมพิวเตอร์การเมือง ฯลฯ
- ผู้ใช้สามารถโพสหัวข้อลงไปในกระดานได้ 
- ผู้ใช้คนอื่นๆ ก็สามารถเลือกดูหัวข้อหรือแม้กระทั่งโพส ความคิดเห็นของตนเองลงไปได้

Wiki
            สามารถสร้างและแก้ไขหน้าเว็บเพจขึ้นมาใหม่ผ่านทางบราวเซอร์ โดยไม่ต้องสร้างเอกสาร html เหมือนแต่ก่อนWikiเน้นการทำระบบสารานุกรม, HOWTOs ที่รวมองค์ความรู้หลายๆ แขนงเข้าไว้ด้วยกันโดยเฉพาะ

Instant Messaging
             เป็นการอนุญาตให้มีการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลบนเครือข่ายที่เป็นแบบ relative privacy 
ตัวอย่างเช่น Gtalk  , Skype  , Meetro , ICQ , Yahoo Messenger  , MSN Messenger และ AOL Instant Messenger  เป็นต้น

Folksonomy(ปัจเจกวิธาน)
             การจัดกลุ่มการจัดระเบียบและค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตโดยทั่วไปมี แบบ คือ
1. ค้นหาในเนื้อความ  (Text Search)
2. เรียงเนื้อหาตามลำดับเวลา  (Chronological)
3. แยกตามกลุ่มประเภท  (Category, Classification)

ค้นหาในเนื้อความ (Text Search)
                ตัวอย่างเช่น Google ที่ก่อตั้งโดย Sergery Brin และ Larry Page ได้ออกแบบเพื่อจัดอันดับความสำคัญของเว็บโดยคำนวณจากการนับ Link จากเว็บอื่นที่ชี้มาที่เว็บหนึ่ง ๆ
- เป็นที่น่าติดตามว่าจะมีเทคนิควิธีในการค้นหาข้อมูลใหม่ ๆ
- ปัญหาที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารบนอินเทอร์เน็ต มีดังต่อไปนี้
- เนื้อหามีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วรายวัน
- การค้นหาข้อมูลที่ตรงตามความต้องการมากที่สุดทำได้ยาก เนื่องจากเนื้อหาที่มีจำนวนมาก
- การค้นหาข้อมูลเฉพาะด้านที่ขึ้นกับความสนใจของผู้ทำการค้นไม่ตรงจุด
- ข้อมูลที่พบอาจจะขาดความน่าเชื่อถือ

Networking standards
                เป็นขบวนการที่เกี่ยวข้องกับทุกๆ protocol & procedure และระเบียบแบบแผนต่างๆ ที่ใช้ในระบบอินเตอร์เน็ต


TCP/IP
                คือ ข้อตกลงในการควบคุมการรับส่งข้อมูล และ internet หรือ protocol ของระบบ internet Transmission Control Protocol/Internet Protocol

The HTTP protocol
HTTP มาจากคำว่า Hypertext Transfer Protocol ซึ่งเป็น protocol ที่ใช้ในการส่งเดต้าต่าง ๆ ในโลกของ World Wide Web


Uniform resource locators (URLs)
                คือ ตัวระบุแหล่งทรัพยากรสากล (URI) ประเภทหนึ่ง ซึ่งใช้สำหรับระบุแหล่งที่อยู่ของทรัพยากรที่ต้องการ และมีกลไกบางอย่างสำหรับดึงข้อมูลทรัพยากรนั้นมา
                ยูอาร์แอลอาจหมายถึง ที่อยู่บนเว็บ หรือที่อยู่อินเตอร์เน็ตก็ได้ ซึ่งปกติแล้วเรามักพิมพ์ยูอาร์แอลในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์เพื่อเรียกข้อมูลจากเว็บไซต์

Domain names
                คือ ชื่อเว็บไซต์ (www.yourdomain.com) ที่สามารถเป็นเจ้าของ ซึ่งจะต้องไม่ซ้ำกับคนอื่น เพื่อการเรียกหาเว็บไซต์ที่ต้องการ
- ความยาวของชื่อ Domain ตั้งได้ไม่เกิน 63 ตัวอักษร
- Domain ต้องจดในชื่อของเราเท่านั้น Domain Ownership
- ถ้าเป็น Domain ของบริษัท พยายามจดภายใต้ชื่อบริษัท อย่าจดด้วยชื่อพนักงาน IT
- ข้อมูลที่สำคัญที่สุดของ Domain คือ Owner Detail
- ใช้อีเมล์ที่จะอยู่กับเราตลอดไปในการจดโดเมน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ติดต่อกับเราเรียกว่า  
  Registrant E-mail
- บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับ Domain ของเราไว้ให้ดี วันหมดอายุ ผู้ติดต่อ และอื่น ๆ